สปอยล์ลูก

สปอยล์ลูก เมื่อพ่อแม่ทุกคนตามใจลูกจนเกินพอดี มักจะมีผลต่อพฤติกรรมของลูกเมื่อโตขึ้น เช่น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ตัวเองถูกเสมอ คนอื่นผิด เอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรต้องได้ พฤติกรรมผิดๆ เหล่านี้เกิดจากพ่อแม่ที่ปลูกฝังให้ลูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การสปอยล์ลูกมากเกินไปก็อาจทำให้ลูกเสียคนได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่ถูกสปอยล์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นหากไม่อยากให้ลูกเสียคนพ่อแม่ต้องหยุดพฤติกรรมสปอยล์ลูกให้ได้ โดยก่อนอื่นมาดูในบทความนี้กันว่าเราเป็นพ่อแม่ที่สปอยล์ลูกหรือไม่

สปอยล์ลูก

การสปอยล์ลูกหมายถึงอะไร

การสปอยล์ลูก (spoil) หมายถึงการที่คุณพ่อคุณแม่ตามใจ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับลูกมากและง่ายดายจนเกินไป จนทำให้ลูกเคยชินและเข้าใจว่าตัวเองจะต้องได้รับทุกอย่างที่ต้องการ คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่ตามใจ และรู้สึกผิดหวัง ไม่พอใจ จนแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งพฤติกรรมไม่ดีเหล่านี้ อาจส่งผลทำให้เด็กมีปัญหาในการเข้าสังคม และปัญหาด้านพัฒนาการทางด้านจิตใจ

อาการลูกถูกสปอยล์

ตามที่ สถาบันกุมารเวชศาสตร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นิยามอาการของเด็กที่ถูกสปอยล์ไว้ว่า เด็กในกลุ่มนี้มักจะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตนเอง มีพฤติกรรมที่ถดถอย (ทำในสิ่งที่เด็กในวัยนั้นๆ ไม่ทำกันแล้ว) แต่พ่อแม่หลายคนอาจสับสนว่าพฤติกรรมที่ลูกกำลังทำนั้น เรียกได้ว่าเป็นการสปอยล์ลูกหรือไม่ หรือเป็นเพียงพฤติกรรมที่ปกติในช่วงวัยนั้นๆ อาการสปอยล์ลูกมีดังนี้

  • การสปอยล์ลูก ทำให้ลูกหลงตัวเอง หมกมุ่นอยู่กับการโอ้อวดตัวตนของตนเอง
  • การสปอยล์ลูก ทำให้ลูกไม่มีความเคารพผู้ใหญ่และเด็กคนอื่นๆ
  • การสปอยล์ลูก ทำให้ลูกไม่เชื่อฟังคนอื่น ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
  • การสปอยล์ลูก ทำให้ลูกมีอารมณ์แปรปรวน
  • การสปอยล์ลูก ทำให้ลูกไม่มีแรงจูงใจในการเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ
  • การสปอยล์ลูก ทำให้ลูกไม่สามารถอยู่คนเดียวได้
  • การสปอยล์ลูก ทำให้ลูกกลายเป็นจอมบงการ
  • การสปอยล์ลูก ทำให้ลูกพยายามดิ้นรนหาเพื่อน

พฤติกรรมพ่อแม่จอมสปอยล์ลูก

สาเหตุที่พ่อแม่สปอยล์ลูกมากเกินไปนั้นมีหลายสาเหตุ เช่น ลูกทำเองได้ช้าไม่ทันใจ กลัวลูกไม่อิ่ม กลัวลูกไม่โต กลัวลูกไม่ทันเพื่อน ความหวังดีความกังวลของพ่อแม่เหล่านี้แหละ ที่เป็นสิ่งที่ทำให้เป็นการสปอยล์ลูกมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว มาดูกันว่าเราได้เผลอทำพฤติกรรมเหล่านี้กับลูกไปหรือไม่

  • ทำให้ลูกเป็นทุกลมหายใจของพ่อแม่

เมื่อมีลูก พ่อแม่หลายคนก็ได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้กับลูก เป็นทุกอย่าง ทำทุกอย่าง คิดทุกอย่าง ให้ลูกจนลูกไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง พ่อแม่กลุ่มนี้จะไม่อยู่ห่างจากลูก ยอมทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อทำตามสิ่งที่ลูกต้องการ และทำให้ลูกเป็นศูนย์กลางจักรวาล จนกลายเป็นการสปอยล์ลูก

  • ชดเชยความผิดของพ่อแม่ด้วยสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่ความรัก

เช่น พ่อแม่ที่ต้องทำงาน มักจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกได้มากพอ จึงซื้อของเล่นให้ลูกเยอะๆ เพื่อชดเชยความผิดนี้ การทำแบบนี้สอนให้เด็กรู้ว่าเมื่อคนอื่นทำอะไรผิด เขาจะได้รับสิ่งของเป็นการตอบแทน สำหรับพ่อแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้าน ไม่ต้องกังวลใจไปว่าการมีเวลาอยู่กับลูกเพียงเล็กน้อย จะทำให้ลูกมีปัญหา เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ใช้เวลาคุณภาพอยู่กับลูก โดยการหากิจกรรมทำร่วมกันและช่วงเวลาที่อยู่กับลูก ให้คุณพ่อคุณแม่โฟกัสไปที่ลูกเพียงอย่างเดียว ไม่หยิบมือถือ ไม่คิดเรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ แม้จะเป็นการใช้เวลาร่วมกันเพียงน้อยนิด แต่ก็ช่วยเติมเต็มให้ลูกได้มากกว่าการอยู่กับลูกทั้งวันแต่พ่อแม่ไม่สนใจลูกอีก

  • ใช้ชีวิตแทนลูก

พ่อแม่ที่สปอยล์ลูกจะวางแผนชีวิตให้ลูก บงการให้ลูกใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองเลือกไว้เท่านั้น ลูกจะไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองเลือกได้ และพ่อแม่ที่สปอยล์ลูกจะเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามที่พ่อแม่ได้วาดฝันไว้ว่าจะให้ลูกเป็นหรือให้ลูกมี การให้ลูกเรียนในสิ่งที่ตัวเองเคยอยากจะเรียน หรือการซื้อของให้ลูกเพราะในวัยเด็กตนเองอยากได้ ก็เป็นหนึ่งในการสปอยล์ลูกอย่างหนึ่ง เพราะการไม่ถามว่าลูกอยากได้หรืออยากเรียนสิ่งๆ นั้นหรือไม่ ก็เรียกได้ว่าเป็นการใช้ชีวิตแทนลูก

  • ไม่เคยปล่อยให้ลูกรอ

เมื่อลูกอยากได้อะไร ชี้อะไร สิ่งของเหล่านั้นจะมาอยู่ตรงหน้าลูกทันที พฤติกรรมสปอยล์ลูกที่พ่อแม่ทำนี้จะทำให้ลูกไม่รู้จักการรอคอย การอดทน การอดออม เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาเป็นของตน ลูกจะไม่เห็นสิ่งอื่นๆ มีค่า เพราะไม่เคยต้องอดทนรอหรือคอยเลย บางครั้งการปล่อยให้ลูกได้หิว ร้อน เหนื่อยบ้าง จะทำให้ลูกรู้ว่า อาหารที่อยู่ตรงหน้าอร่อยเพียงใดก็เป็นได้

ต้องเข้าใจว่าเด็กก็คือเด็ก ในบางครั้งลูกอาจจะงอแง อยากมี อยากได้ ตามวัยของเขา และพ่อแม่ทุกคนก็ไม่อยากเห็นลูกเสียใจ เพราะเราทั้งรักและห่วงลูกเป็นที่สุด แต่จะตามใจลูกได้แค่ไหน เพื่อไม่ให้เป็นการสปอยล์ลูกจนเสียคน

สปอยล์ลูก

เทคนิคเลี้ยงลูกแบบไม่สปอยล์

  • รับฟังความต้องการของลูก แก้ปัญหาตามแนวทางของพ่อแม่

ให้ลองรับฟังลูกว่าลูกต้องการอะไร รู้สึกเสียใจเพราะอะไร แม้ว่าความต้องการนั้นๆ จะไม่มีเหตุผลเลยก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ก็ควรรับฟังไว้ และไม่ควรต่อว่าลูกว่าไร้สาระ หรือไม่มีความจำเป็น การเป็นผู้ฟังที่จะทำให้ลูกเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจพ่อแม่ และเมื่อรับฟังแล้วสิ่งสำคัญหลังจากนั้นคือแนวทางการช่วยแก้ปัญหาให้ลูก พ่อแม่ควรยึดหลักและกฎเกณฑ์ในบ้านเป็นหลัก ไม่ควรแหวกกฎเกณฑ์เพื่อตามใจลูก เช่น เมื่อลูกอยากได้โทรศัพท์มือถือเพราะเพื่อนมีกันหมดแล้ว ให้คุณพ่อคุณแม่รับฟังว่าลูกรู้สึกอย่างไร ต้องการมากแค่ไหน หลังจากนั้นให้ย้ำถึงกฎเกณฑ์ว่าเราได้ตกลงกันแล้วว่าลูกจะมีโทรศัพท์มือถือได้เมื่อลูกอยู่ในวัยที่เหมาะสมเท่านั้น เป็นต้น

  • อย่ากลัวที่จะให้ลูกผิดพลาด

ผิดเป็นครู ถ้าลูกไม่รู้จักผิดพลาด ผิดหวังเลย จะมีแรงจูงใจอะไรให้พยายามทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จได้ และลูกจะรู้จักระมัดระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือไม่ถ้าไม่เคยทำผิดเลย ตัวอย่างเช่น เวลาเล่นเกมกับลูก ไม่จำเป็นต้องยอมแพ้และให้ลูกชนะทุกครั้ง การให้ลูกรู้จักแพ้บ้าง เพื่อให้ลูกได้พยายามทำให้ตัวเองชนะ ก็เหมือนกับการที่พ่อแม่ต่อขั้นบันไดให้ลูกได้ปีนผ่านอุปสรรคต่าง ๆ จนทำสิ่งเหล่านั้นได้สำเร็จนั่นเอง และเมื่อลูกทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง ลูกจะมีความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem) ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ จะเป็นผลดีกับชีวิตของลูกในอนาคต

  • อย่าสรรเสริญเยินยอลูกจนมากเกินไป

การชื่นชมลูกเพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกเป็นสิ่งสำคัญ แต่การชมจนมากเกินไปจนถึงขั้นสรรเสริญเยินยอ ก็อาจจะเป็นการทำร้ายลูกได้ เพราะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่หลงตัวเองจนเกินพอดี หรือบางครั้งอาจจะเป็นการกดดันลูกได้ เพราะลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่คาดหวังให้ลูกเป็นแบบนั้น การชมลูกที่ถูกต้อง ควรเน้นที่การชมถึงความพยายามของลูก ว่าการที่ลูกทำสิ่งนั้น ๆ สำเร็จได้ เป็นเพราะลูกพยายาม เช่น เมื่อลูกสอบได้คะแนนดี แทนที่จะชมว่าลูกหัวดี เรียนเก่ง ให้ลองปรับคำพูดเป็น “เป็นเพราะลูกพยายาม ตั้งใจเรียน ตั้งใจทบทวนอ่านหนังสือ เลยทำให้ลูกได้คะแนนดี” เป็นต้น

  • รักษากฎเกณฑ์ภายในบ้าน

อย่าปล่อยให้ลูกแหวกกฎเกณฑ์ภายในบ้านซ้ำ ๆ เพราะจะทำให้ลูกลดความเคารพในสิทธิของคนอื่น ๆ การตั้งกฎเกณฑ์ภายในบ้านของทุกบ้าน เป็นเพราะพ่อแม่ต้องการจำลองสถานการณ์ให้ลูกได้รู้จักกฎของการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น ๆ ดังนั้นอย่าปล่อยให้ลูกทำตามใจตนเอง เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนในครอบครัว เพราะหากลูกทำจนชิน เมื่อลูกต้องออกไปอยู่ร่วมกับสังคม ลูกจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคมนั่นเอง

โรคไม่รู้จักความลำบาก

โรคไม่รู้จักความลำบาก เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ที่ไม่เคยปล่อยให้ลูกลำบาก จริงอยู่ที่ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกลำบาก แต่ความรักความผูกพันต้องอยู่ภายใต้ความเป็นจริงของโลก เพราะลูกน้อยไม่ได้อยู่กับเราจลอดชีวิต การเลี้ยงแบบไข่ในหินอาจส่งผลร้ายกับเด็กมากกว่าที่คิด ดังนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักความรับผิดชอบ การแบ่งปัน ความมีวินัย ตลอดจนความลำบาก เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะปล่อยลูกออกไปรับมือกับโลกภายนอกได้ในอนาคต

บทสรุป

ถึงแม่ว่าพ่อแม่หลายคนอาจจะกลัวลูกไม่รักก็เลยตามใจลูกไปทุกเรื่อง จนกลายเป็นการสปอยล์ลูก จริงๆ แล้วเราสามารถตามใจลูกได้แต่ควรตามใจแต่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป ให้พิจารณาตามความเหมาะสมและโอกาส สิ่งที่สำคัญคือควรให้มีการรอคอยบ้างทั้งเรื่องของเล่น ขนม อย่าให้ทันทีทุกครั้ง และเมื่อลูกมีอาการร้องไห้งอแง โวยวาย ให้ตั้งสติก่อนปรับพฤติกรรมลูก อย่าใช้อารมณ์ และเน้นใช้ความสม่ำเสมอ เมื่อพ่อแม่แสดงออกถึงวุฒิภาวะที่มั่นคง ลูกจะค่อยๆ ลดอาการงอแงและโวยวาย แต่ความรู้สึกถึงความรักจากพ่อแม่จะยังคงอยู่ เพราะฉะนั้นอย่ากลายเป็นพ่อแม่ที่ตามใจแบบสปอยล์ลูก

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเด็ก

ที่มาของบทความ

ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับเด็กได้ที่  hudsonaudioimports.com
สนับสนุนโดย  ufabet369